วิตามินบำรุงผิว


    เพิ่มสารอาหารบำรุงผิว การดูแลผิวพรรณภายในทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่หันมาเลือกรับรับประทานอาหารเสริมหรือเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ที่สามารถช่วยบำรุงผิวได้ให้มีความสดใส สวยงาม และดูดี อย่างเช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และธัญพืช ที่เป็นแหล่งสำคัญของสารอาหารที่ผิวต้องการ ซึ่งได้แก่

                     วิตามินซี (Vitamin C) สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวและมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ต้านความเครียด เพิ่มภูมิต้านทานให้ผิว พบได้มากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
                     วิตามินเอ (Vitamin A) ช่วยป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหน้า ซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ บำรุงผิวให้แข็งแรง และยังมีความสำคัญต่อขบวนการเติบโตของผิวหน้าให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติอีกด้วย แต่ควรได้รับในปริมาณที่พอดี หรือประมาณ 3 มิลลิกรัม เพราะถ้ามากเกินไปจะเป็นอันตรายและทำให้ผิวหยาบกร้านได้ ส่วนอาหารที่มีวิตามินเอ ก็ได้แก่ นม เนย ปลาเแซลมอน ผักใบเขียว แคนตาลูป มะเขือเทศ ฟักทอง เป็นต้น
                     แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ร่างกายจะต้องเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของวิตามินเอก่อนจึงจะนำไปใช้ได้ แคโรทีนอยด์ที่รู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน ที่พบได้ในผักใบเขียวและในผักผลไม้สีส้ม
                     วิตามินอี (Vitamin E) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากในการรักษาสภาพผิว ช่วยรักษาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย ทำให้ผิวหนังไม่แห้งเหี่ยว ช่วยให้แผลหายเร็ว ชะลอความชราของผิว และช่วยปกป้องการถูกทำลายของเซลล์ผิวหนัง โดยควรได้รับวันละประมาณ 200-400 IU อาหารที่มีวิตามินอีก็ได้แก่ ผลไม้ ผักใบเขียว ถั่ว น้ำมันพืช ข้าวไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีต เป็นต้น
                     วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวหนังเรียบ ช่วยซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพและสีผิว โดย วิตามินบี 1 จะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, วิตามินบี2 จะช่วยบำรุงผิวหนัง, วิตามินบี 5 ช่วยต้านความเครียดที่จะทำให้ผิวหม่นหมอง, ไบโอติน ช่วยสร้างคอลลาเจน กรดอะมิโน และกรดไขมัน ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งซีดดูไม่สดใส พบได้ใน ไข่แดง ตับ ไต ถั่ว ดอกกะหล่ำ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งแหล่งอาหารที่มีวิตามินบีก็ได้แก่ แป้ง ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี เป็นต้น
                     วิตามินดี (Vitamin D)ช่วยส่งเสริมให้ผิวหายใจได้ดียิ่งขึ้น ผิวจึงดูสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยต้านความเครียด และลดโรคผิวหนังบางชนิด ซึ่งการที่ร่างกายได้รับวิตามินดีจากแสงแดดอ่อน ๆ วันละ 15 นาที ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
                     คอลลาเจน (Collagen) ทำหน้าที่ค้ำจุนโครงสร้างให้ผิวหนังมีความแข็งแรง มีผลทำให้ผิวพรรณเต่งตึง เรียบเนียน โดยคอลลาเจนจะอยู่คู่กับโปรตีน "อีลาสติน" ซึ่งทำหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นแก่ผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย โดยอาหารที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนก็ได้แก่ วิตามินซี
                     สังกะสี (Zinc) ช่วยซ่อมแซมคอลลาเจนที่สึกหรอ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้วิตามินต้านอนุมูลอิสระทำงานดีขึ้น ช่วยชะลอความแก่ชรา และป้องกันผิวหนังแห้งหยาบ อาหารที่มีธาตุสังกะสีอยู่มากก็คือ อาหารทะเล
                     โครเมียม (Chromium) ช่วยต้านทานการติดเชื้อของผิวหนัง เยียวยาเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้แผลหายเร็ว ป้องกันรอยแผลเป็น และช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง แหล่งอาหารที่มีโครเมียม ได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืชไม่ขัดสี หอย ตับ มันฝรั่ง ฯลฯ
                     ซีลีเนียม (Selenium) จะทำงานร่วมกับวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินเอ เป็นส่วนประกอบของกลูต้าไธโอน เปอร์ออกซิเดส ซึ่งเป็นเอนไซม์ป้องกันเซลล์ไม่ให้เกิดอันตรายจากอนุมูลอิสระ แหล่งอาหารที่พบได้มาก คือ ข้าวต่าง ๆ ตับ และอาหารทะเล
                     กรดไขมันจำเป็น เช่น โอเมก้า3 ช่วยป้องกันการอักเสบและติดเชื้อภายในร่างกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของเซลล์ต่าง ๆ รวมทั้งผิวหนัง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง และลดการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง โดยจะพบได้มากในปลาทะเล
                     กลูต้าไธโอน (Glutathione) ช่วยชะลอกระบวนการชราและเพิ่มความต้านทานโรค ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยตับในการย่อยสลายสารพิษ อีกทั้งยังช่วยเร่งประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีและวิตามินอี ทำให้ดูดซึมได้เร็วขึ้นด้วย ส่วนอาหารที่พบว่ามีกลูต้าไธโอนก็ได้แก่ เนื้อ หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี อะโวคาโด วอลนัต ฯลฯ
                     โคเอ็นไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี ร่างกายต้องการวันละ 30-60 มิลลิกรัม แหล่งอาหารที่พบคิวเทน ได้แก่ ถั่วลิสง ปลาแซลมอน น้ำมันถั่วเหลือง ไข่ ตับ ไต หัวใจ เนื้อวัว จมูกข้าวสาลี ฯลฯ
                     กรดอัลฟาไลโปอิค (Alpha Lipoic Acid) ช่วยในการสร้างและซ่อมแซมคอลลาเจนของผิวหนัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีและอี ร่างกายต้องการวันละ 50-100 มิลลิกรัม
                     สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (OPC) เป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน
                     ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารที่มีในมะเขือเทศ แตงโม ส้มโอแดง กุ้ง ปู ปลาแซลมอน ดอกกระเจี๊ยบ เชอร์รี่ หัวบีท แก้วมังกร ฯลฯ ก็ช่วยในการกำจัดตัวการสร้างอนุมูลอิสระให้หมดฤทธิ์ไป จนไม่สามารถทำลายเซลล์ผิวหนังได้
                     ลูทีนและซีแซนทีน (Lutein & Zeaxanthin) เป็นสารที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคดวงตาเสื่อมตามวัย ป้องกันมะเร็ง และป้องกันหลอดเลือดตีบ มีมากในไข่แดง ผักผลไม้สีเหลืองและสีส้ม เช่น พริก ข้าวโพด น้ำส้ม ฯลฯ ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า บรอกโคลี ปวยเล้ง ฯลฯ
                     แอสตาแซนทิน (Astaxanthin) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเบต้าแคโรทีน 10 เท่า สามารถผ่านเข้าไปในสมองได้และทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระในสมองได้ดี ซึ่งสารนี้พบได้มากในสัตว์น้ำที่มีสีแดง เช่น กุ้ง ปู ปลาแซลมอน เป็นต้น

      ไม่มีความคิดเห็น:

      แสดงความคิดเห็น